สายชิวว์ขี่กินลมชมวิวที่ภูทับเบิก จ.เพชรบูรณ์
อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว มันเป็นสัญญานที่บ่งบอกว่าการเดินทางของเหล่านักบิด2ล้อได้เริ่มขึ้นอย่างแท้จริงแล้วสินะ.. ไม่พลาดครับ..ไม่พลาดที่ผมจะหยิบยกเรื่องราวของการเดินทางด้วยมอร์ไซค์คู่ใจของผมมานำเสนอ.. ซึ่งเมื่อครั้งหนึ่งผมได้ออกทริปบนภูทับเบิก(นะ) เรื่องนี้อาจไปกระตุ้นให้หลายๆคนอยากออกไปโต้ลมหนาวบนภูทับเบิกในแบบฉบับของไบค์เกอร์บ้าง อย่างน้อยๆก็คงจะมีสักคนน่าาาาา.. ^^

ถึงที่พักเกือบ6โมงเย็น อากาศเย็นๆชื้นๆ

วิวแปลงฝักของชาวม้งบนภูทับเบิก
ภูทับเบิก หลายๆครั้งในวงสนทนาของเราชาว2ล้อมักจะมีเสียงลือเสียงเล่าว่า เส้นทางระหว่างทางขึ้นภูนั้นมีทิวทัศน์ที่สวยงาม และ ถนนที่มีโค้งมีความชันน่าขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ยิ่งนัก ซึ่งในทริปนี้(ปี55)ผมเลยถือโอกาสที่น้องชายว่างตรงกันกับผมออกเดินทางไปขี่รถเล่นบนภูทับเบิกกัน

HD Sporster 48 ทางเขาแรงดีไม่มีตก

เลือกพักแบบไหนดี มีทั้งแบบห้องพัก และเต้นท์
ผมใช้เส้นทางลัดเลาะไปทางเส้นขนานกับถนนกาญนาภิเษกตะวันออก จนไปโผล่ออกถนนพหลโยธินที่อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ยิงยาวฝ่าฟันขบวนรถบรรทุก และรถยนต์ส่วนบุคคลไปจนถึงสายเลี่ยงเมืองสระบุรีที่มีรถยนต์ รถบรรทุกน้อยลงเยอะ ทำให้การขับขี่ได้สบายขึ้น จนถึงจ.เพชรบูรณ์ เราวิ่งในเส้นหลักอย่างเดียวเลยครับ แวะพักบ้างตามปั๊มต่างๆ เจอเพื่อนๆมากหน้าหลายตาที่ออกทริปในวันเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่เค้ามีจุดหมายที่งานรวมตัวBigbikeกัน

แดดร่มลมตกที่ภูทับเบิก เพ็ชรบูรณ์

เต้นท์นอนคืนนี้ เลือกมุมตามใจชอบ
บ่าย3โมงกว่าๆถึงถนนสาย 2372 มุ่งหน้าสู่ อ.หล่มสัก ซึ่งเป็นทางแยกจากถนนสายน้ำหนาว-เขาค้อ.. แค่ผ่านแยกมาไม่กี่เมตรผมสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ปะทะตัวแล้วล่ะครับ และช่วงเข้าหนาวแบบนี้จะค่ำไวกว่าปกติ ทำให้ลุ้นว่าจะถึงบนภูทับเบิกกันกี่โมง อีกอย่างไม่ได้จองที่พักไว้ซะด้วย กะว่าไปหากันเอาเมื่อถึง

ได้ที่ปุ๊บ..ขอเช็กเว็บสักหน่อย

วันนี้ไม่ใช่วันหยุด นักท่องเที่ยวบางตา
จากแยกถนนน้ำหนาว-เขาค้อออกมาประมาณ12กิโลเมตร จะเจอ3แยกที่มีป้ายบอกอย่างชัดเจนว่าถ้าเลี้ยวซ้าย "ภูทับเบิก" เราจะขึ้นเขากันละครับ..

ที่พักเราอยู่บนเขาอีกลูกตรงข้ามกับโบส์คริส

ใกล้มืดจุดตั้งเต้นท์เรามีลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ
ถนนจากตีนเขาขึ้นมาก็ไม่ได้โหดร้ายอะไรมากมากยครับ หากใช้ความเร็วไม่มาก แต่หากใครที่ชอบเล่นโค้งด้วยความเร็วก็โปรดระวังเศษทรายเศษหินเล็กๆในโค้งด้วยนะครับ และหลุมบ่อกลางถนนก็มีอยู่บ้างให้ระวังกันหน่อยครับ.. วันที่ผมใช้รถมอเตอร์ไซค์ไปไม่ตรงกับช่วงวันหยุด รถยนต์ส่วนใหญ่ที่วิ่งบนเส้นนี้ส่วนมากเป็นรถชาวบ้านซะมากกว่า และมีปริมาณน้อย นานๆจะมีสวนมาที ผมเลยขี่ได้ชิวว์ๆครับลากเกียร์3เบาๆ ช่วงไหนชันๆก็ลงถึงเกียร์2 มองวิวเพลินๆสบายอารมณ์ดีครับ แต่ก็ไม่ได้แวะจอดถ่ายรูประหว่างทางขึ้นเพราะเกรงว่าจะมืดก่อนหาที่พักได้ อละอีกอย่างไม่ชินทางครับ

ทุกอย่างสงบนิ่ง ยกเว้นสายลม

บริเวณนี้มีเต้นท์เราเป็นเต้นท์เดียว
ตัดบทถึงบนภูที่มองได้กว้างไกลสุดตา ช่วงนั้น(กว่า3ปีที่แล้ว)ส่วนใหญ่เป็นไร่กะหล่ำที่ใกล้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวในอีกไม่นาน ระหว่างทางสายตาก็เสาะหาที่พัก ซึ่งผมเลือกที่พักที่ธรรมชาติๆมองวิวไร่กะหล่ำได้ สุดท้ายก็มาเจอที่พักซึ่งดูธรรมดาๆแต่ราคาก็ไม่ธรรมดานะ(คิดเห็นส่วนตัว) ผมเลือกที่จะนอนเต้นท์ เลยให้เจ้าของที่พักเค้ามาตั้งเต้นท์ให้ใกล้ๆกับแปลงกะหล่ำ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมย้ายไปนอนบ้านกระต๊อบเพราะสู้แรงลมไม่ไหวครับ ข้างบนลมแรงมากเต้นท์ทำท่าจะปลิวกันเลยทีเดียว..

สีสันของแสงไฟที่ฝั่งร้านอาหารตรงข้าม

ขึ้นมานั่งเล่นแฝงตัวในแปลงกระหล่ำ
ค่ำลงบรรยากาศบนภูทับเบิกก็เงียบสงบ นานๆทีจะมีเสียงรถมอเตอร์ไซค์วิ่งสักที อาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ไม่พลาดที่จะหิ้วเครื่องดื่มเย็นๆเดินฝ่าดงกระหล่ำไปนั่งชิวอยู่กลางไร่กับน้องชาย วิวด้านหน้าสวย ดาวสวยมีให้เห็นบ้างเป็นช่วงๆ อากาศเย็นๆ ทำให้ฟินน์มากเลยครับในทริปนั้น.. กว่าจะได้นอนก็ประมาณ4ทุ่ม ซึ่งที่นั่นเงียบสงัดแล้วล่ะครับ ชาวบ้านปิดร้านปิดบ้านนอนหลับกันหมดแล้ว จะมีเพียงก็แต่พวกนักท่องเที่ยวที่ยังนั่งสูดอากาศมองดาวอยู่หน้าห้องหรือระเบียงห้องของตัวเองเท่านนั้น... ส่วนผมก็ฟินน์อยู่กลางไร่กระหล่ำ ^^

แสงไฟและที่พักเหนือแปลงกระหล่ำที่นั่งเล่น

ดอกกระหล่ำในความมืด

บรรยากาศยามเช้าบนภูทับเบิก

กลางคืนลมแรงมาก เลยเปลี่ยนมานอนในกระท่อม
เช้าวันใหม่ที่อากาศเย็นสบายมีหมอกจางๆ และแสงอาทิตย์สีทองอ่อนๆสาดส่องทั่วภู กระทบกับสีเขียวของต้นไม้ต้นหญ้าและดอกกระหล่ำเป็นแนวยาวสุดตา ดูแล้วช่างสวยงามและอบอุ่นจริงๆครับ เหมือนยืนอยู่ในรูปวิวที่ถ่ายโดยช่างภาพมืออาชีพซะขนาดนั้นเลย..

ดอกกระดาษช่วยเพิ่มสีสันกลางดงดอย

แสงแดดอ่อนๆยามเช้า

ร้านอาหารของที่พักลุงท้ายโฮมสเตย์

มื้อเช้า..ข้าวต้มทรงเครื่องแบบฉบับชาวม้ง
เมื้อเช้าผมเป็นข้าวต้มครับ ข้าวต้มในแบบฉบับของชาวบ้านที่นี่ ที่ใส่ผักกระหล่ำด้วย โดยปกติแล้วผมทานข้าวต้มไม่เคยใส่ผักน่ะครับ เลยทำให้คิดว่าข้าวต้มถ้วยนี้น่าจะเป็นแบบดั้งเดิมของชาวภูทับเบิกเป็นแน่แท้..

ด้านหน้าที่พักก็มีผักขาย

ที่ไหนๆไม่เคยหวั่น กับ HD Sportster 48 คู่ใจ
ช่วงเช้าๆบริเวณด้านหน้าที่พักก็จะมีพืชผักของชาวภูทับเบิกวางขายกันด้วย เหมือนๆกับตลาดหน้าบ้านที่ตามหมู่บ้านในต่างจังหวัดที่ยังคงมีกันอยู่.. ซึ่งราคาก็บ้านๆครับ ไม่แพงเลย แต่เสียดายว่าไม่สะดวกในการซื้อกลับไปด้วย ผมเลยได้แต่ยืนชมและพูดคุยกับแม่ค้าเท่านั้น

น้องชายกับBMW1100RS

ตลาดของฝากชาวม้งก่อนทางแยกเข้าภูทับเบิก
สายๆประมาณ9โมงกว่าก็ถึงเวลาบอกลาดินแดนแห่งนี้แล้วครับ เพราะแพลนไว้ว่าจะยิงยาวกลับสู่เมืองกรุงกันเลยโดยไม่แวะเที่ยวไหน แต่ช่วงขาลงเขามันก็ทำให้ได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่แปลกตาไปอีกแบบไม่เหมือนกับตอนขึ้นมาที่เราจะมองเห็นแต่ภาพเบื้องหน้าเป็นภูเขาซะส่วนใหญ่ ตอนลงนี้เราจะเห็นภาพวิวที่มีทิวเขา มีสายหมอก ดูโล่งๆไกลๆได้สุดตา สวยงามไปอีกแบบครับ ^^
อ่อ..ตอนกลับลงภูมายังมีโอกาสได้แวะตลาดตรงทางแยกลงภูทับเบิกแป๊บนึง เดินเล่นดูว่ามีอะไรบ้าง..ซี่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นพืชผักผลไม้ของที่นี่ครับ หากใช้รถยนต์มาก็เลือกซื้อกันได้นะครับ ราคาน่าจะถูกกว่าเมื่อเค้านำลงมาขายในตลาดข้างล่าง

ตลาดส่วนหนึ่งเป็นสินค้าการเกษตร

ถนนลอยฟ้า..เส้นทางมายังภูทับเบิก

ภาพตอนลงเขา ตอนมาไม่ค่อยได้ถ่ายรูป

โค้งสวยๆ ถนนดีๆ ขี่สนุกครับ
สรุปขาไปใช้เวลาเดินทางน่าจะราวๆ 7ชั่วโมงได้ครับ แต่ขากลับยิงยาวไม่โอ้เอ้..แวะเติมน้ำมันอย่างเดียวถึงบ้านราวๆบ่าย3โมงครับ ก็น่าจะใช้เวลา4ชั่วโมงกว่า.. แสดงว่าขาไปผมหาเส้นทางมาทะลุอ.วังน้อย และ แวะโม้กับเพื่อนๆชาวบิ๊กไบค์ราวๆ2ชั่วโมง..555 แต่ก็แหละครับทริปนี้ได้เพื่อนได้มิตรเพิ่มอีกหลายๆท่าน ซึ่งเราก็ยังได้ทักทายและชักชวนกันออกทริปกันอยู่เรื่อยๆในFacebookครับ.. ยิ่งช่วงต้นหนาวนี้ชวนถี่ยิบเลยล่ะครับ.. ^^

หมอกจางๆช่วยสร้างบรรยากาศการขับขี่ได้ดีทีเดียว

ถึงเบื้องล่างเตรียมยิงยาวเข้าเมืองกรุง
ภาพท้ายๆข้างล่างนี่้เป็นภาพที่ถ่ายล่าสุดในช่วงกลางเดือนตุลาคม ปีนี้(2558) บรรยากาศแตกต่างจากเดิมไปบ้างตามกาลเวลาครับ ที่ไหนฮิตๆมากๆ ความเปลี่ยนแปลงก็จะยิ่งมากขึ้นตามไปครับ ...

มีร้านค้าเพิ่มมากขึ้น

นักท่องเที่ยวหนาตามากขึ้น

ที่พักบนจุดชมวิวภูทับเบิก

ทะเลหมอกที่ยังคงสวยงาม

จากไร่กระหล่ำถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นที่พัก

ที่พักแห่งใหม่เกิดขึ้นมากมาย

ถนนรูปหัวใจที่ภูทับเบิก

แปลงกระหล่ำที่ยังคงเป็นเสน่ห์ของที่นี่